รายละเอียดของระบบ Alemba IT Service Management (Alemba vFire ITSM)

 

Alemba IT Service Management 

(Alemba vFire ITSM)

Alemba IT Service Management หรือที่รู้จักในชื่อ Alemba vFire เป็นโซลูชั่นการบริหารจัดการบริการด้าน IT (ITSM) ที่มีรากฐานจากระบบ VMware Service Manager (Infra) เดิม โดยได้รับการพัฒนาต่อเพื่อให้รองรับการบริหารจัดการ IT Services ในองค์กรขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ตามแนวทาง ITIL v3 และ ITIL 4 มีจุดเด่นที่ความสามารถในการปรับแต่งสูงและใช้งานง่าย พร้อมฟังก์ชัน Automation ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของทีม IT
 
คุณสมบัติหลักของ Alemba ITSM (vFire)
1. Incident Management
– ระบบจัดการเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับบริการ IT พร้อมการแจ้งเตือนและจัดลำดับความสำคัญ
– สามารถ Tracking เหตุการณ์ได้แบบ Real-Time และผสานกับ SLA Monitoring
2. Problem Management
– วิเคราะห์ปัญหาที่เกิดซ้ำและหาแนวทางแก้ไขอย่างถาวร
– รองรับการสร้างฐานข้อมูล Known Error และการเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้อง
3. Change Management
– บริหารการเปลี่ยนแปลงระบบ IT อย่างเป็นระบบ
– มี Workflow สำหรับการอนุมัติและวิเคราะห์ผลกระทบอย่างละเอียด
4. Configuration Management (CMDB)
– ฐานข้อมูล Configuration Items พร้อมแสดงความสัมพันธ์ระหว่างระบบ
– ช่วยในการวิเคราะห์และวางแผนการเปลี่ยนแปลงระบบ IT
5. Service Catalog & Request Fulfillment
– ให้บริการ Self-Service Portal สำหรับผู้ใช้งานในการร้องขอบริการ
– Workflow สำหรับการอนุมัติและดำเนินการคำขออย่างอัตโนมัติ
6. Knowledge Management
– ระบบฐานความรู้ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานและเจ้าหน้าที่สามารถค้นหาวิธีแก้ปัญหา
– เพิ่มประสิทธิภาพการแก้ปัญหาและลดระยะเวลาตอบสนอง
7. Service Level Management (SLM)
– กำหนดและบริหาร SLA, OLA, และ UC เพื่อควบคุมระดับการให้บริการ
– ติดตามประสิทธิภาพการให้บริการผ่าน Dashboard และรายงาน
8. Process Automation & Scripting
– รองรับการสร้างกระบวนการอัตโนมัติที่สามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการ
– ใช้ Scripting Engine เพื่อขยายความสามารถของระบบ
 
ข้อดี 
1. ความสามารถในการปรับแต่งสูง (Highly Configurable)
– ผู้ใช้งานสามารถปรับแต่งหน้าจอ, Workflow, และ Field ต่าง ๆ ได้ง่ายโดยไม่ต้องเขียนโค้ด
– เหมาะสำหรับองค์กรที่มีความต้องการเฉพาะเจาะจงในกระบวนการทำงาน
2. การผสานรวมระบบได้หลากหลาย
– รองรับการเชื่อมต่อกับระบบภายนอก เช่น Active Directory, Microsoft SCCM, Monitoring Tools
– มี API สำหรับการเชื่อมต่อระบบอย่างไร้รอยต่อ
3. รองรับการทำงานหลายภาษาและหลายสกุลเงิน
– เหมาะสำหรับองค์กรที่มีสาขาในหลายประเทศ
– สนับสนุนผู้ใช้งานที่หลากหลายวัฒนธรรม
4. การติดตั้งที่ยืดหยุ่น
– รองรับการใช้งานทั้งแบบ On-Premise และ Private Cloud
– ให้ความยืดหยุ่นในการควบคุมข้อมูลและระบบโครงสร้างพื้นฐาน
 
จุดแข็ง
1. โซลูชั่นที่ต่อยอดจาก VMware Service Manager (Infra)
– สืบทอดความมั่นคงและประสบการณ์จากระบบที่ใช้ในองค์กรขนาดใหญ่
– พัฒนาให้ทันสมัยยิ่งขึ้นในด้าน UX และความสามารถด้าน Automation
2. ความง่ายในการใช้งานและดูแลรักษา
– ระบบถูกออกแบบมาให้ผู้ดูแลระบบสามารถบริหารจัดการได้โดยไม่ต้องพึ่งพาผู้พัฒนาภายนอก
– ลดต้นทุนการปรับแต่งและดูแลรักษาระยะยาว
3. เน้นกระบวนการตามมาตรฐาน ITIL
– รองรับกระบวนการ ITIL ได้อย่างครอบคลุมและยืดหยุ่น
– ช่วยให้องค์กรมีมาตรฐานในการให้บริการ IT และสามารถพัฒนาได้ต่อเนื่อง
4. การสนับสนุนลูกค้าแบบเฉพาะทาง
– Alemba มีทีมสนับสนุนที่เชี่ยวชาญและให้บริการเฉพาะด้าน ITSM
– ได้รับคำชมเชยในเรื่องความช่วยเหลือที่รวดเร็วและมืออาชีพ

 

สรุปจุดเด่น
  • เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการระบบ ITSM ที่ปรับแต่งได้ง่าย
  • รองรับการใช้งานทั้งแบบดั้งเดิม (On-Premise) และ Cloud
  • มีรากฐานจากระบบที่องค์กรขนาดใหญ่ไว้วางใจ
  • ความสามารถในการผสานกับระบบเดิมขององค์กรที่หลากหลาย

 

 

รายละเอียดของระบบIvanti Neurons for IT Service Management (Ivanti Neurons for ITSM)

 

Ivanti Neurons

for IT Service Management

(Ivanti Neurons for ITSM)

Ivanti Neurons for ITSM เป็นโซลูชันบริหารจัดการบริการด้าน IT รุ่นใหม่ที่ผสานการทำงานของ AI, Automation และ Machine Learning เข้าด้วยกัน เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการให้บริการ IT ในองค์กรอย่างชาญฉลาด และตอบโจทย์การทำงานแบบ Proactive Service Management โดยออกแบบมาเพื่อให้สอดคล้องกับแนวทาง ITIL 4 และรองรับการทำงานแบบ Cloud-Native เต็มรูปแบบ
 
คุณสมบัติหลัก
1. AI-Powered Service Automation
– ระบบสามารถวิเคราะห์และตอบสนองต่อเหตุการณ์โดยอัตโนมัติ เช่น การสร้าง Ticket, การจัดลำดับความสำคัญ
– ลดภาระงานซ้ำซ้อนของเจ้าหน้าที่ และเพิ่มความเร็วในการให้บริการ
2. Self-Healing และ Proactive Remediation
– ใช้ AI ในการตรวจจับและแก้ไขปัญหาก่อนที่ผู้ใช้งานจะทราบ
– ลด Downtime และเพิ่มความต่อเนื่องของบริการ IT
3. Virtual Agents และ Chatbots
– ให้บริการผู้ใช้งานผ่าน Chatbot ที่สามารถตอบคำถาม, สร้าง Ticket, และแนะนำวิธีแก้ไขปัญหาได้แบบอัตโนมัติ
– รองรับภาษาหลายภาษา และสามารถปรับแต่งการโต้ตอบได้
4. Service Catalog & Request Fulfillment
– ให้บริการ Self-Service Portal ที่ใช้งานง่ายสำหรับร้องขอบริการ
– รองรับ Workflow อัตโนมัติในการดำเนินการตามคำขอ
5. Incident, Problem, Change, Release, และ Knowledge Management
– ครอบคลุมกระบวนการบริหารจัดการบริการหลักตาม ITIL Framework
– รองรับการสร้างฐานข้อมูลความรู้เพื่อช่วยเหลือผู้ใช้งาน
6. Configuration Management Database (CMDB)
– บริหารข้อมูล Configuration Items (CI) และความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบของระบบ
– ช่วยในการวิเคราะห์ผลกระทบและการวางแผนการเปลี่ยนแปลง
7. Mobile-First Experience
– รองรับการเข้าถึงและใช้งานระบบผ่านอุปกรณ์มือถือ ทั้ง iOS และ Android
– ให้ทีม IT สามารถบริหารงานได้จากทุกที่ ทุกเวลา
8. Flexible Deployment Options
– รองรับการติดตั้งทั้งแบบ Cloud, On-Premise, และ Hybrid
– เหมาะกับองค์กรที่มีข้อจำกัดด้านโครงสร้างพื้นฐานหรือความต้องการเฉพาะ

 

ข้อดี 
1. ระบบอัจฉริยะด้วย AI และ Machine Learning
– เพิ่มความสามารถในการคาดการณ์ปัญหาและการแก้ไขเชิงรุก
– ช่วยให้ทีม IT ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดภาระงานที่ไม่จำเป็น
2. บริการแบบ Self-Service ที่ทรงพลัง
– ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยตนเอง ลดจำนวน Ticket ที่ต้องส่งต่อถึงเจ้าหน้าที่
– เพิ่มความพึงพอใจและประสบการณ์ผู้ใช้งาน
3. การบริหารจัดการที่สอดคล้องกับ ITIL 4
– รองรับกระบวนการที่ทันสมัย และช่วยองค์กรเข้าสู่การบริหารจัดการ IT แบบ Digital Transformation
– ช่วยปรับเปลี่ยน IT ให้เป็นผู้ขับเคลื่อนธุรกิจ ไม่ใช่เพียงแค่ฝ่ายสนับสนุน
4. การบูรณาการอย่างไร้รอยต่อ
– ผสานกับระบบ Ivanti Neurons อื่น ๆ เช่น Endpoint Management, Security, และ Discovery
– ช่วยให้สามารถควบคุมและบริหารระบบ IT ทั้งหมดจากแพลตฟอร์มเดียว

 

จุดแข็ง 
1. Proactive และ Predictive IT Service Management
– แตกต่างจากระบบ ITSM แบบดั้งเดิม ด้วยการเน้นการป้องกันและการแก้ไขปัญหาล่วงหน้า
– ใช้ข้อมูลและ AI เพื่อให้บริการอย่างชาญฉลาด
2. การทำงานแบบ Automation-Driven
– ลดเวลาในการดำเนินงาน และเพิ่มความแม่นยำด้วยการอัตโนมัติกระบวนการต่าง ๆ
– ระบบสามารถเรียนรู้จากข้อมูลและพฤติกรรมเพื่อพัฒนาและปรับปรุงตนเอง
3. แพลตฟอร์มที่ยืดหยุ่นและขยายได้ง่าย
– รองรับการปรับแต่ง Workflow, UI, และกระบวนการต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับองค์กรทุกขนาด
– พร้อมเติบโตไปกับธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรขนาดเล็ก กลาง หรือใหญ่
4. เน้นประสบการณ์ของผู้ใช้งาน (User-Centric)
– ออกแบบ Interface ที่ทันสมัย ใช้งานง่ายทั้งสำหรับทีม IT และผู้ใช้งานทั่วไป
– สนับสนุนการทำงานแบบ Mobility และการสื่อสารแบบทันที

 

สรุปจุดเด่น
  • AI-Driven ITSM ที่ช่วยให้บริการเชิงรุกและอัตโนมัติ
  • Self-Healing และการแก้ปัญหาอัตโนมัติแบบเรียลไทม์
  • ผสานรวมกับระบบ Ivanti Ecosystem เพื่อบริหาร IT แบบครบวงจร
  • เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการ ปรับเปลี่ยน IT ให้ทันสมัยและเป็นศูนย์กลางของธุรกิจ

 

 

รายละเอียดของระบบ Ivanti Neurons for Unified Endpoint Management


Ivanti Neurons

for Unified Endpoint Management

Ivanti Neurons for Unified Endpoint Manager เป็นโซลูชั่นที่ออกแบบมาเพื่อบริหารจัดการอุปกรณ์ปลายทาง (Endpoints) ทุกประเภทในองค์กร ทั้ง PCs, Laptops, Servers, Smartphones, Tablets และอุปกรณ์ IoT ผ่านแพลตฟอร์มเดียวแบบครบวงจร โดยเน้นการรวมศูนย์การบริหารจัดการ การรักษาความปลอดภัย และการทำงานแบบอัตโนมัติ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดภาระงานของทีม IT

 

คุณสมบัติหลัก
1. Unified Endpoint Management
– จัดการอุปกรณ์ Windows, macOS, Linux, iOS, Android จากศูนย์กลางเดียว
– รองรับการบริหารจัดการทั้ง On-Premise และ Remote Devices
2. Software Distribution
– ติดตั้งและอัปเดตซอฟต์แวร์แบบอัตโนมัติในอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับระบบ
– รองรับการกำหนดเวลาการอัปเดต และการติดตั้งแบบ Silent
3. Patch Management
– ตรวจสอบและอัปเดต Patch ระบบปฏิบัติการและซอฟต์แวร์ของบุคคลที่สามอย่างอัตโนมัติ
– ช่วยลดช่องโหว่ด้านความปลอดภัย และรองรับ Compliance ต่าง ๆ
4. Remote Control & Assistance
– เข้าถึงและควบคุมอุปกรณ์ระยะไกลเพื่อแก้ไขปัญหาและดูแลผู้ใช้งาน
– รองรับการแชท ส่งไฟล์ และเครื่องมือช่วยเหลือแบบ Real-Time
5. Inventory Management & Asset Discovery
– ตรวจสอบและรวบรวมข้อมูลสินทรัพย์ IT ทั้ง Hardware และ Software
– แสดงรายละเอียดของอุปกรณ์ทั้งหมดแบบเรียลไทม์
6. Operating System Deployment (OSD)
– ติดตั้งระบบปฏิบัติการใหม่ หรือ Imaging อุปกรณ์จำนวนมากได้อย่างรวดเร็ว
– รองรับการกำหนดค่าล่วงหน้าและการจัดการไดรเวอร์
7. Endpoint Security Integration
– ผสานรวมกับระบบรักษาความปลอดภัย เช่น Antivirus, Encryption, Application Control
– ช่วยเพิ่มการควบคุมและปกป้องอุปกรณ์จากภัยคุกคาม
8. Modern Device Management (MDM)
– รองรับการจัดการอุปกรณ์เคลื่อนที่ และ BYOD (Bring Your Own Device)
– สนับสนุนมาตรฐานเช่น Apple DEP, Android Enterprise
 
ข้อดี
1. การรวมศูนย์บริหารจัดการทุกอุปกรณ์
– ลดความซับซ้อนในการจัดการอุปกรณ์หลากหลายประเภทในระบบเดียว
– ทีม IT สามารถควบคุมและดูแลอุปกรณ์ได้จากศูนย์กลาง ไม่ว่าผู้ใช้งานจะอยู่ที่ใด
2. การปรับแต่งตามความต้องการองค์กร
– รองรับการกำหนด Policy, Workflow, และการตั้งค่าต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับกระบวนการเฉพาะขององค์กร
– รองรับการทำงานแบบ Multitenant สำหรับองค์กรที่มีหลายแผนกหรือบริษัทในเครือ
3. การดูแลอุปกรณ์ระยะไกลที่มีประสิทธิภาพ
– เหมาะสำหรับสภาพแวดล้อมแบบ Hybrid หรือ Remote Work ที่ต้องการเข้าถึงและดูแลอุปกรณ์ได้ตลอดเวลา
– ช่วยให้สามารถบำรุงรักษาและแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องอยู่หน้างาน
4. การบริหารจัดการ Lifecycle ของอุปกรณ์ครบถ้วน
– ตั้งแต่การติดตั้งระบบ การบำรุงรักษา ไปจนถึงการปลดระวางอุปกรณ์
– ลดต้นทุนในการจัดการและเพิ่มความโปร่งใสในการบริหารสินทรัพย์ IT
 
จุดแข็ง
1. ผู้นำด้าน UEM ที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก
– ได้รับการจัดอันดับในรายงานจาก Gartner, Forrester ในกลุ่มผู้นำของโซลูชัน Unified Endpoint Management
2. ระบบอัตโนมัติที่ทรงพลัง
– มีความสามารถในการทำ Automation ได้หลากหลาย ตั้งแต่การอัปเดต การแจ้งเตือน ไปจนถึงการซ่อมแซมระบบ
– ลดภาระงานซ้ำซ้อนของทีม IT และเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ
3. การผสานรวมกับโซลูชันอื่นของ Ivanti อย่างไร้รอยต่อ
– เช่น Ivanti Security Controls, Ivanti Service Manager
– สร้าง Ecosystem สำหรับการบริหารจัดการ IT และความปลอดภัยแบบครบวงจร
4. ความสามารถในการขยายและรองรับองค์กรขนาดใหญ่
– รองรับอุปกรณ์จำนวนมาก และสามารถขยายระบบได้อย่างยืดหยุ่น
– เหมาะกับองค์กรที่มีสาขาและอุปกรณ์กระจายตัวจำนวนมาก

 

 

รายละเอียดของระบบ SymphonyAI IT Service Management (SymphonyAI ITSM)

 

SymphonyAI IT Service Management
(SymphonyAI ITSM)

SymphonyAI ITSM เป็นแพลตฟอร์มบริหารจัดการบริการด้าน IT (IT Service Management) ที่ขับเคลื่อนด้วย AI และ Machine Learning เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการและการสนับสนุนผู้ใช้งานภายในองค์กร โดยมุ่งเน้นที่การทำงานอัตโนมัติ การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก และการปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้งาน

 

คุณสมบัติหลัก
1. Incident Management
– จัดการและติดตามเหตุการณ์ปัญหาที่เกิดขึ้นภายในระบบ IT
– ระบบสามารถจัดลำดับความสำคัญของปัญหา และกำหนดการตอบสนองอย่างเป็นระบบ
2. Problem Management
– วิเคราะห์และจัดการสาเหตุรากของปัญหา เพื่อป้องกันการเกิดซ้ำ
– รองรับการสร้างฐานข้อมูลปัญหา (Known Error Database)
3. Change Management
– บริหารจัดการการเปลี่ยนแปลงระบบ IT อย่างมีระเบียบ
– มี Workflow สำหรับการอนุมัติ และประเมินผลกระทบของการเปลี่ยนแปลง
4. Request Fulfillment / Service Catalog
– ให้ผู้ใช้งานสามารถร้องขอบริการผ่าน Service Catalog ที่ใช้งานง่าย
– ระบบสามารถอนุมัติและดำเนินการตามคำขอแบบอัตโนมัติ
5. Configuration Management Database (CMDB)
– จัดเก็บข้อมูล Configuration Item (CI) และความสัมพันธ์ระหว่างระบบต่าง ๆ
– รองรับการตรวจสอบผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงระบบ
6. AI-Powered Virtual Agent
– ให้บริการช่วยเหลือผู้ใช้งานผ่าน Chatbot ที่ขับเคลื่อนด้วย AI
– ช่วยลดภาระงานของทีม IT Support และเพิ่มความเร็วในการแก้ไขปัญหา
7. Predictive Analytics และ AIOps
– ใช้ AI ในการวิเคราะห์แนวโน้มของปัญหา หรือการหยุดชะงักของระบบล่วงหน้า
– แนะนำวิธีการป้องกันหรือแนวทางแก้ไขอัตโนมัติ
8. Self-Service Portal
– ผู้ใช้งานสามารถค้นหาคำตอบและแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง ผ่านฐานความรู้และคู่มือ
– สนับสนุนแนวทาง Shift Left ลดภาระทีม Support Line 1
 
ข้อดี
1. การทำงานอัตโนมัติด้วย AI
– ลดเวลาและต้นทุนการดำเนินงาน ด้วยระบบ Automation เช่น Incident Routing, การสร้าง Ticket อัตโนมัติ
– เพิ่มความแม่นยำในการวิเคราะห์และตัดสินใจ
2. ประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีขึ้น
– Interface ใช้งานง่าย รองรับการเข้าถึงจากอุปกรณ์ต่าง ๆ
– ระบบ Self-Service และ Chatbot ช่วยให้ผู้ใช้สามารถแก้ไขปัญหาได้รวดเร็ว
3. สนับสนุนมาตรฐาน ITIL
– ระบบถูกออกแบบให้สอดคล้องกับแนวทางปฏิบัติของ ITIL (Information Technology Infrastructure Library)
– รองรับกระบวนการบริการที่มีมาตรฐานระดับสากล
4. การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก (Insights & Reporting)
– มี Dashboard และรายงานแบบเรียลไทม์สำหรับผู้บริหารและทีม IT
– ช่วยในการตัดสินใจและปรับปรุงกระบวนการบริการ
 
จุดแข็ง
1. การใช้ AI และ Machine Learning อย่างเต็มรูปแบบ
– แตกต่างจากระบบ ITSM ทั่วไป ด้วยการนำเทคโนโลยี AI มาช่วยในทุกขั้นตอนของการบริหารจัดการบริการ
– ลดความจำเป็นในการพึ่งพามนุษย์ในงานที่ซ้ำซ้อน
2. รองรับองค์กรทุกขนาด และหลายอุตสาหกรรม
– มีความยืดหยุ่นในการใช้งาน เหมาะกับทั้งองค์กรขนาดกลางและขนาดใหญ่
– สามารถปรับแต่งให้เหมาะสมกับลักษณะเฉพาะของอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น การเงิน, การผลิต, การสื่อสาร
3. ขยายตัวและบูรณาการได้ง่าย
– รองรับการผสานกับระบบอื่น ๆ เช่น ERP, CRM, Monitoring Tools
– สามารถขยายความสามารถตามความต้องการขององค์กร
4. เน้นการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง (Continuous Improvement)
– ใช้ข้อมูลและ AI เพื่อแนะนำแนวทางในการพัฒนาการให้บริการ
– ส่งเสริมวัฒนธรรมการเรียนรู้และการพัฒนาอย่างยั่งยืนในองค์กร

 

 

รายละเอียดของระบบ Oracle Identity Manager (OIM)

 

Oracle Identity Manager (OIM)

Oracle Identity Manager (OIM) เป็นโซลูชันบริหารจัดการตัวตนและการเข้าถึง (Identity Governance & Administration – IGA) ที่ออกแบบมาสำหรับองค์กรขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ โดยมุ่งเน้นที่การจัดการวงจรชีวิตของบัญชีผู้ใช้งาน (Identity Lifecycle Management) และควบคุมสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลในระบบ IT อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ

 

คุณสมบัติหลัก
1. Identity Lifecycle Management
– จัดการกระบวนการสร้าง แก้ไข ระงับ และลบบัญชีผู้ใช้งานแบบอัตโนมัติ
– รองรับการจัดการผู้ใช้งานตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงการออกจากองค์กร (Joiner, Mover, Leaver)
2. Access Request and Approval Workflow
– ผู้ใช้งานสามารถร้องขอสิทธิ์การเข้าถึงระบบต่าง ๆ ผ่าน Self-Service Portal
–  มีกระบวนการอนุมัติแบบ Workflow ที่สามารถกำหนดเงื่อนไขได้หลากหลาย
3. Role-Based Access Control (RBAC)
– จัดกลุ่มสิทธิ์ตามบทบาทหน้าที่ของผู้ใช้งาน
– ลดความซับซ้อนในการบริหารจัดการสิทธิ์ และเพิ่มความโปร่งใสในการกำหนดสิทธิ์
4. Policy Management
– กำหนดนโยบายในการเข้าถึงข้อมูล เช่น Segregation of Duties (SoD), Password Policy
– ตรวจสอบและแจ้งเตือนหากมีการละเมิดนโยบาย
5. Integration with Heterogeneous Systems
– เชื่อมต่อกับระบบต่าง ๆ ได้หลากหลาย เช่น LDAP, Active Directory, Databases, SaaS Applications
– รองรับการใช้งานกับ Oracle Applications เช่น E-Business Suite, PeopleSoft, JD Edwards
6. Audit and Compliance Reporting
– บันทึกและรายงานการดำเนินการทุกขั้นตอน เพื่อรองรับการตรวจสอบตามมาตรฐาน
– สนับสนุนมาตรฐานการปฏิบัติ เช่น SOX, HIPAA, GDPR
7. Connector Framework
– มีคอนเน็กเตอร์สำเร็จรูปเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันต่าง ๆ
– สามารถพัฒนา Connector เพิ่มเติมตามระบบเฉพาะขององค์กร

 

ข้อดี 
1. ความสามารถในการปรับแต่งขั้นสูง
– รองรับการปรับแต่ง Workflow, UI, Policy ให้เหมาะสมกับกระบวนการในองค์กร
– สามารถผสานรวมกับ Oracle SOA เพื่อสร้าง Workflow ที่ซับซ้อนได้
2. ความสามารถในการจัดการระบบขนาดใหญ่
– เหมาะสำหรับองค์กรที่มีผู้ใช้งานจำนวนมากและระบบซับซ้อน
– มีประสิทธิภาพสูงในสภาพแวดล้อม Enterprise
3. สนับสนุนการกำกับดูแลและการปฏิบัติตามกฎระเบียบ (Governance & Compliance)
– ช่วยให้องค์กรสามารถควบคุมและติดตามสิทธิ์การเข้าถึงตามกฎหมายและมาตรฐานอุตสาหกรรม
4. ความปลอดภัยระดับสูง
– มีการควบคุมสิทธิ์ที่ละเอียดและรองรับการเข้ารหัสข้อมูล
– มีการควบคุมการตรวจสอบและแจ้งเตือนความเสี่ยงที่เกิดจากการใช้งานบัญชี
 
จุดแข็ง
1. การรวมระบบกับ Oracle Ecosystem อย่างไร้รอยต่อ
– หากองค์กรใช้งานระบบของ Oracle อยู่แล้ว OIM จะสามารถเชื่อมต่อและบริหารจัดการได้ง่ายและเต็มประสิทธิภาพ
2. ความครอบคลุมของฟังก์ชัน Identity Governance
– เป็นโซลูชันที่ไม่เพียงแค่จัดการตัวตน แต่ยังให้เครื่องมือในการวิเคราะห์และตรวจสอบการใช้งานสิทธิ์เชิงลึก
3. แพลตฟอร์มระดับองค์กร (Enterprise-Grade Platform)
– รองรับความต้องการเชิงธุรกิจและเชิงเทคนิคที่ซับซ้อน เช่น การจัดการในหลายองค์กรย่อย (Multi-Tenancy)
4. ความยืดหยุ่นในการผสานรวมระบบภายนอก
– ไม่จำกัดเฉพาะระบบของ Oracle เท่านั้น ยังสามารถเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันและโครงสร้างพื้นฐานของผู้ให้บริการอื่นได้

 

 

รายละเอียดของระบบ Ping Identity Access Management

 

Ping Identity Access Management

Ping Identity เป็นระบบบริหารจัดการตัวตนและการเข้าถึง (Identity and Access Management หรือ IAM) ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้องค์กรสามารถควบคุมสิทธิ์การเข้าถึงระบบข้อมูลได้อย่างปลอดภัย รองรับทั้งการทำงานภายในองค์กรและระบบ Cloud ซึ่งมีความยืดหยุ่นสูงในการบริหารจัดการผู้ใช้งานในสภาพแวดล้อมดิจิทัลที่หลากหลาย
 
คุณสมบัติหลัก 
1. Single Sign-On (SSO)
– ผู้ใช้งานสามารถเข้าสู่ระบบครั้งเดียว แล้วเข้าถึงแอปพลิเคชันต่าง ๆ ได้โดยไม่ต้องล็อกอินซ้ำ
– รองรับทั้งแอปพลิเคชันในองค์กรและ SaaS เช่น Microsoft 365, Salesforce
2. Multi-Factor Authentication (MFA)
– เพิ่มความปลอดภัยในการยืนยันตัวตน โดยใช้มากกว่าหนึ่งปัจจัย เช่น รหัส OTP, อุปกรณ์มือถือ, ลายนิ้วมือ
3. Federated Identity Management
– รองรับการใช้งานร่วมกับระบบภายนอกผ่านมาตรฐานเช่น SAML, OAuth, OpenID Connect
– เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องทำงานร่วมกับคู่ค้า หรือองค์กรอื่น
4. Adaptive Authentication
– วิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้งานและบริบท เช่น ที่อยู่ IP, อุปกรณ์, ตำแหน่งที่ตั้ง เพื่อปรับระดับการตรวจสอบอัตโนมัติ
5. Directory Integration
– เชื่อมต่อกับ Active Directory, LDAP และฐานข้อมูลอื่น ๆ เพื่อจัดการผู้ใช้แบบรวมศูนย์
6. API Security
– ปกป้อง API ขององค์กรด้วยการจัดการสิทธิ์และการตรวจสอบตัวตน API Clients
7. Cloud และ Hybrid Support
– สามารถใช้งานได้ทั้งแบบ On-Premise, Private Cloud หรือ Public Cloud (เช่น AWS, Azure)
 
ข้อดีของระบบ 
1. ความยืดหยุ่นในการปรับแต่ง
– รองรับการออกแบบประสบการณ์ผู้ใช้ตามความต้องการขององค์กร เช่น Branding, Workflow
2. รองรับระบบ Legacy และ Cloud
– สามารถผสานรวมกับระบบเดิมที่มีอยู่แล้วในองค์กร รวมถึง SaaS สมัยใหม่
3. ความสามารถในการขยายตัว
– รองรับองค์กรขนาดใหญ่ ผู้ใช้งานจำนวนมาก และระบบที่ซับซ้อน
4. มาตรฐานความปลอดภัยสูง
– ปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยสากล เช่น GDPR, SOC 2, ISO 27001
5. ประสิทธิภาพสูง
– รองรับการทำงานแบบเรียลไทม์ มีความเสถียรและประสิทธิภาพสูงในการจัดการการยืนยันตัวตนจำนวนมาก

 

 

ระบบ IT Service Management (ITSM)

 

IT Service Management (ITSM)

 
 
       ระบบ IT Service Management (ITSM) หรือ การจัดการบริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ คือ กรอบแนวทาง (Framework) และกระบวนการที่องค์กรใช้ในการวางแผน ส่งมอบ ดำเนินงาน และควบคุมบริการด้านไอทีที่มีต่อผู้ใช้งานภายในหรือภายนอกองค์กร โดยมีเป้าหมายเพื่อให้บริการไอทีมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับความต้องการทางธุรกิจ และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้งาน (End Users)
 
       ITSM ไม่ได้หมายถึง “การดูแลระบบไอที” ทั่วไปเท่านั้น แต่เน้นที่ “การให้บริการไอที” ในรูปแบบที่มี มาตรฐาน มีโครงสร้าง และเน้นการพัฒนาต่อเนื่อง เพื่อให้ตอบโจทย์ธุรกิจได้ดีที่สุด
 
       กระบวนการ ITSM ประกอบไปด้วยขบวนการที่สำคัญต่างๆ เช่น Incident Management, Request Fulfillment, Change Management, Service Level Management, Asset Management และอื่นๆ
 
 

ระบบ Unified Endpoint Management (UEM)

 

Unified Endpoint Management (UEM)

       Unified Endpoint Management (UEM) หรือ การจัดการอุปกรณ์ปลายทางแบบครบวงจร คือระบบหรือแพลตฟอร์มที่ช่วยให้องค์กรสามารถจัดการ ดูแล และควบคุมอุปกรณ์ปลายทางทุกประเภท (Endpoints) จากศูนย์กลางเดียว ไม่ว่าจะเป็น คอมพิวเตอร์เดสก์ท็อป โน้ตบุ๊ก สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต อุปกรณ์ IoT หรือแม้กระทั่งเครื่องพิมพ์และอุปกรณ์ BYOD (Bring Your Own Device)

       UEM รวมทุกอย่างที่องค์กรเคยจัดการแยกกัน ไม่ว่าจะเป็น Mobile Device Management (MDM) และ Client Management Tools (CMT) มาอยู่ในระบบเดียว เพื่อให้การจัดการง่ายขึ้น มีความปลอดภัยสูงขึ้น และรองรับวิถีการทำงานยุคใหม่ที่ไม่จำกัดแค่ในออฟฟิศ เช่น Work from Anywhere หรือ Remote Work
 
       คุณสมบัติที่สำคัญของระบบ UEM ประกอบไปด้วย Device Management, Mobile Device Management (MDM), Mobile Application Management (MAM), Endpoint Security Management, Patch Management, Remote Support & Management เป็นต้น

ระบบ Access Management

Access Management

       ระบบ Access Management หรือ ระบบบริหารจัดการการเข้าถึง เป็นระบบที่ควบคุมว่า ใคร สามารถ เข้าถึงอะไร ในระบบสารสนเทศหรือเครือข่ายขององค์กรได้บ้าง โดยเน้นที่การควบคุมสิทธิ์การเข้าถึงทรัพยากรต่าง ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ใช้งานจะสามารถเข้าถึงเฉพาะข้อมูลหรือระบบที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น และป้องกันการเข้าถึงที่ไม่พึงประสงค์ (Unauthorized Access)
คุณสมบัติหลักของระบบ Access Management
 
       1. Authentication (การพิสูจน์ตัวตน): 
เป็นการยืนยันตัวตนของผู้ใช้งานว่าเป็น “ตัวจริง” หรือไม่ เช่น การใช้รหัสผ่าน, ลายนิ้วมือ, ใบหน้า หรือ MFA (Multi-Factor Authentication)
 
       2. Authorization (การกำหนดสิทธิ์): 
หลังจากพิสูจน์ตัวตนแล้ว ระบบจะตรวจสอบสิทธิ์การเข้าถึงของผู้ใช้ เช่น สิทธิ์ดูข้อมูล แก้ไข หรืออนุมัติในระบบ
 
       3. Access Control (การควบคุมการเข้าถึง): 
กำหนดและบังคับใช้สิทธิ์ตามนโยบาย เช่น ใครสามารถเข้าถึงข้อมูลอะไร เวลาไหน หรือจากอุปกรณ์ใด
 
       4. Audit & Monitoring (การตรวจสอบและติดตามการใช้งาน): 
บันทึกและตรวจสอบการเข้าถึงระบบ เพื่อตรวจจับพฤติกรรมที่ผิดปกติและรองรับการตรวจสอบภายหลัง

ประโยชน์ที่ได้จากระบบ Access Management
 
       1. Single Sign-On (SSO): 
ผู้ใช้ลงชื่อเข้าใช้ระบบเพียงครั้งเดียว สามารถเข้าถึงหลายระบบหรือแอปพลิเคชันได้โดยไม่ต้องใส่รหัสผ่านซ้ำ
 
       2. Multi-Factor Authentication (MFA): 
พิ่มขั้นตอนความปลอดภัยด้วยการใช้การยืนยันหลายปัจจัย เช่น รหัสผ่าน + OTP หรือ + การสแกนใบหน้า
 
       3. Self-Service Access Request: 
ผู้ใช้สามารถร้องขอสิทธิ์การเข้าถึงระบบต่าง ๆ ได้ด้วยตัวเอง ผ่านกระบวนการอนุมัติอัตโนมัติ
 
       4. Access Reviews & Certification: 
ตรวจสอบและทบทวนสิทธิ์การเข้าถึงของผู้ใช้งานอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดความเสี่ยงจากสิทธิ์เกินความจำเป็น (Least Privilege Principle)

 
 

Identity Management (IDM)

Identity Management (IDM)

       ระบบ Identity Management หรือที่เรียกกันว่า ระบบบริหารจัดการตัวตนและสิทธิ์การเข้าถึง เป็นระบบที่ช่วยในการจัดการข้อมูลตัวตน (Identity) ของผู้ใช้งานในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นพนักงาน ลูกค้า หรือพาร์ทเนอร์ รวมถึงการกำหนดสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลและระบบต่าง ๆ เพื่อให้มั่นใจว่าบุคคลที่เข้าถึงระบบมีตัวตนจริง และได้รับอนุญาตตามสิทธิ์ที่กำหนด
 
       คุณสมบัติหลักของระบบ Identity Management
 
       1. การจัดการข้อมูลตัวตน (Identity Management):
เป็นกระบวนการสร้าง จัดเก็บ และจัดการข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้งาน เช่น ชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน อีเมล ตำแหน่งงาน หรือบทบาท (Roles) รวมถึงการสร้างและลบบัญชีผู้ใช้ (User Provisioning/ Deprovisioning) เพื่อใช้เป็นพื้นฐานในการยืนยันตัวตนและกำหนดสิทธิ์เข้าถึงระบบต่าง ๆ
 
       2. การพิสูจน์ตัวตน (Authentication):
เป็นกระบวนการตรวจสอบว่า “คุณคือใคร” เช่น การใช้รหัสผ่าน, OTP, Biometric (ลายนิ้วมือ, ใบหน้า) หรือ Multi-Factor Authentication (MFA) ระบบจะตรวจสอบตัวตนก่อนอนุญาตให้เข้าถึงข้อมูลหรือระบบที่เกี่ยวข้อง
 
       3. การกำหนดสิทธิ์การเข้าถึง (Authorization):
เมื่อระบบรู้แล้วว่า “คุณคือใคร” ก็จะตรวจสอบต่อว่า “คุณมีสิทธิ์เข้าถึงอะไรได้บ้าง” หรือที่เรียกว่า Role-Based Access Control (RBAC) เป็นการกำหนดการเข้าถึงระบบขององค์กร เช่น สามารถเข้าถึงข้อมูลฝ่าย HR ได้ แต่ไม่สามารถเข้าถึงระบบบัญชีได้
 
       4. การจัดการวงจรชีวิตของตัวตน (Identity Lifecycle Management):
ครอบคลุมตั้งแต่การสร้างบัญชีผู้ใช้ใหม่ การอัปเดตข้อมูล การเปลี่ยนสิทธิ์ จนถึงการลบบัญชีเมื่อผู้ใช้ออกจากระบบหรือองค์กร ลดความเสี่ยงของบัญชีแปลกปลอม (Dormant Accounts) ที่จะอยู่ในระบบต่างๆ
 
       5. การตรวจสอบและติดตาม (Audit & Monitoring):
เป็นการบันทึกการใช้งานระบบและการเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้ทั้งหมด (Log) ตรวจสอบว่ามีใครเข้ามาทำอะไร เมื่อไร จากที่ไหนช่วยด้านการปฏิบัติตามกฎหมายหรือมาตรฐานต่าง ๆ เช่น GDPR, ISO 27001, หรือ PDPA